อาการผมร่วง ศีรษะล้านในผู้ชายนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า Androgenetic alopecia หรือ Male pattern baldness ซึ่งการเกิดผมร่วงชนิดนี้มีความเกี่ยวข้องกับการที่ฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน (สามารถพบได้ในเพศหญิงด้วยแต่พบในปริมาณที่น้อยกว่า) เปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนดีเอชที (DHT- Dihydrotestosterone) ซึ่งฮอร์โมน DHT นี้ เป็นตัวการทำให้เกิดการฝ่อและเหี่ยวของรากผมลงไปเรื่อย ๆ ผมจึงอยู่ในระยะของการเจริญสั้นลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดรากผมนั้น ๆ ก็ไม่สามารถสร้างเส้นผมขึ้นมาใหม่ได้อีก ผมจึงบางลงเรื่อย ๆ จนเกิดศีรษะล้านในที่สุด
‘Finasteride’ เป็นยาที่มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการที่ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมน DHT ทำให้มีฮอร์โมน DHT ที่จะไปทำลายรากผมลดน้อยลง จึงสามารถลดอาการผมร่วงได้ แต่ยาตัวนี้จะต้องใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือน จึงจะเริ่มเห็นผลว่ามีผมร่วงลดลงและจะต้องใช้ต่อเนื่องอีก 6 เดือน จึงจะพบว่ามีผมใหม่เกิดขึ้นและผมดูหนาขึ้น
การศึกษาตัวยาจากบริษัท ชื่อยาคือ Propecia ซึ่งเป็นต้นแบบของตัวยา Finasteride อ้างว่าหลังจากใช้ไป 2 ปี 99% ของผู้ชายที่มีผมร่วงที่ใช้ยานี้ได้ผลดีขึ้นอย่างชัดเจน โดย 66% มีผมเกิดขึ้นใหม่ และ อีก 33% มีผมร่วงลดลงอย่างชัดเจน (การทดลองในผู้ชาย 535 คน และมีการถ่ายรูปศีรษะของผู้เข้าร่วมทดลองก่อนและหลังการกินยาในระยะเวลา 24 เดือน) แต่หลังจากการหยุดยาพบว่าผมจะกลับมาร่วงเหมือนเดิม
ผลข้างเคียงของยา Finasteride ทั่วไปที่อาจพบได้ คือ อาการแพ้ยา เช่น มีผื่น คัน ปากบวมหน้าบวม เต้านมคัดตึงเจ็บ และเจ็บอัณฑะ ส่วนผลข้างเคียงต่อเพศชายที่สำคัญ คือ อาจมีอารมณ์ทางเพศลดลง อวัยวะเพศแข็งตัวยาก มีปัญหาเรื่องการหลั่ง และน้ำอสุจิมีปริมาณน้อย
อย่างไรก็ตาม มีการแนะนำการใช้ยา Finasteride เฉพาะสำหรับในผู้ชายเท่านั้น ยังไม่ได้มีการรับรองให้ใช้รักษาอาการผมร่วงในเด็กและผู้หญิง
เห็นไหมล่ะคะว่า การเลือกใช้ยาปลูกผมนั้น ไม่ได้มีเพียงแต่ข้อดีอย่างเดียว ยังมีข้อเสียที่เราควรคำนึงถึงและควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือเภสัชกรอีกด้วย ซึ่งก่อนใช้เราควรศึกษาข้อมูลของยาให้ถ่องแท้เสียก่อน เพราะถ้า “ผมหนา..แต่ทว่าเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจของคุณผู้ชายหลายท่านเช่นเดียวกันแน่นอนค่ะ